วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รายงานการสื่อสารและการนำเสนอ รายวิชา IS


รายงานการสื่อสารและการนำเสนอ
เรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย

ของ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5
นายจิรายุทธคินานันท์เลขที่ 9
นายบุญเกียรติ  สุขดี  เลขที่ 15
นางสาวบุษบา  สายทอง  เลขที่ 24
นางสาวลัดดาวัลย์  แก้วเนตร       เลขที่ 26

ที่ปรึกษา
คุณครู นารีรัตน์  แก้วประชุม
วันที่ 10 เดือนสิงหาคม พ.. 2557

เสนอ
โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร
อำเภอโพธิ์ไทร      จังหวัดอุบลราชธานี

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ตามหลังสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557

คำนำ
     รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการสื่อสารและการนำเสนอ เพื่อสร้างองค์ความรู้และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนในศึกษาในเรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย ซึ่งคณะผู้จัดทำได้จัดทำรายงานฉบับนี้เพื่อให้นักเรียนและผู้จนใจได้ศึกษาเป็นเอกสารเพิ่มเติมต่อไป
      คณะผู้จักทำหวังเป็นอย่ายิ่งว่า รายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ ซึ่งรายงานฉบับนี้จะรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับ วัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมไทย และผู้อ่านสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป  หากรายงานฉบับนี้ผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำพร้อมที่จะรับฟังคำติชม เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขในโอกาสต่อไป
                                                                                         คณะผู้จัดทำ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5
10 สิงหาคม 2557


กิตติกรรมประกาศ
รายงายฉบับนี้สำเร็จสมบรูณ์เป็นรูปเล่ม ด้วยความกรุณาและการเอาใจใส่เป้นอย่างดีจากคุณครู นารีรัตน์  แก้วประชุม เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นครูประจำวิชาที่ได้กรุณา ให้คำปรึกษา และแนะแนวทางการดำเนินการทำรายงานในครั้งนี้โดยไม่มีข้อบกพร่อง รวมทั้งข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นต่างๆตลอดทั้งการตรวดแก้ไขรายงานฉบับนี้ให้สำเร็จสมบรูณ์ยิ่งขึ้น ทางคระผู้จัดทำจึงขอขอบพระคุณไว้เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วยขอขอบพระคุณคุณครูทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสารทวิชา ความรู้และประสบการณ์ตลอดจนอำนวยความสำเร็จให้บังเกิด

คณะผู้จัดทำ
                   นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5
10 สิงหาคม 2557

  
ชื่อเรื่อง   การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย
ผู้ศึกษา  1.นายจิรายุทธคินานันท์
2. นายบุญเกียรติ  สุขดี
3.นางสาวบุษบา  สายทอง
4. นางสาวลัดดาวัลย์  แก้วเนตร
ครูที่ปรึกษา  คุณครู นารีรัตน์  แก้วประชุม
ชื่อวิชา          การสื่อสารและการนำเสนอ
ชื่อโรงเรียน  โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร ปีการศึกษา ที่ศึกษาค้นคว้า 2557
บทคัดย่อ
การศึกษาค้นคว้า เรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับวัฒนธรรมไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวัฒนธรรมตะวันตก 2) ศึกษาวัฒนธรรมไทย 3) เพื่อศึกษาหาข้อสรุประหว่างวัฒนธรรมตะวันตกกับวัฒนธรรมไทยอันไหนดีกว่ากัน โดยศึกษาจาก สารานุกรมฉบับเยาวชนไทย, สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ค.ศ. 1833,อารยธรรมตะวันตก, วัฒนธรรมไทย
จากเว็บไซด์ สารานุกรมฉบับเยาวชนไทย,ค้นหาเมื่อ11 พฤษภาคม  2557
สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ค.ศ. 1833, ค้นหาเมื่อ 11 พฤษภาคม 2557
..ณัฐนรี ไชยฤกษ์, อารยธรรมตะวันตก,15 กรกฎาคม 2557
ผลการศึกษาปรากฏว่า
1.วัฒนธรรมตะวันตกมีดังนี้
1.1 อารยธรรมสำคัญของโลกตะวันตก ในยุคก่อนประวัติศาสตร์มนุษย์มีที่พักอาศัยอยู่ไม่หลักแหล่ง และอพยพตามฤดูกาล ต่อมาในยุคหินมนุษย์รู้จักการเพาะปลูก และต้องรอคอยการกับเกี่ยวผลิต จึงทำให้มนุษย์อยู่เป็นหลักแหล่งและมีการพัฒนาชุมชน แบ่งแยกหน้าที่ และจักระเบียบชุมชน จึงทำให้เกิดการชำนาญเฉพาะอย่างขึ้น อันเป็นจุดกำเนิดของอารยธรรม ประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
1.2วัฒนธรรมที่รับมาเพื่อสร้างความทันสมัย ในการติดต่อกับชาวตะวันตกโดยทั่วไป เจ้านาย และขุนนาง ได้ปรับตัวให้ทันสมัย เพื่อมิให้เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของชาวตะวันตก มีการรับแบบแผนประเพณี และค่านิยมแบบตะวันตก มาปรับปรุงการดำเนินชีวิต และมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม ในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราษฎรทั่วไปได้ยึดถือเป็นแบบอย่าง และหล่อหลอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยในปัจจุบัน อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่เห็นเด่นชัด ได้แก่ แนวความคิดแบบตะวันตก การแต่งกาย การตกแต่งบ้านเรือน เครื่องเรือน การรับประทานอาหาร การกีฬา และนันทนาการ
2.วัฒนธรรมไทย หมายถึง วัฒนธรรมไทย หรือศิลปวัฒนธรรมไทย แท้จริงแล้วมีสิ่งที่สวยงาม เป็นเสน่ห์ที่สร้างสีสันให้กับประเทศไทย แต่หลายคนอาจไม่ทราบถึงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ
วัฒนธรรม หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิต ที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการละเล่น การแสดง การร้องเพลง พฤติกรรม และบรรดาผลงานทั้งมวลที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานด้านจิตกรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนความคิด ความเชื่อ ความรู้ ลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบความรู้สึก ความประพฤติและกิริยาอาการ หรือการกระทำใด ๆ ของมนุษย์ในส่วนรวม ลงรูปเป็นพิมพ์เดียวกันและสำแดงออกมาให้ปรากฏเป็นภาษา ศิลปะ ความเชื่อถือ ระเบียบ ประเพณี ความกลมเกลียว ความก้าวหน้าของชาติและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ซึ่งวัฒนธรรมของคนแต่ละภาคในประเทศไทยก็มีความเหมือนและแตกต่างกันบ้างตามแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการสืบทอดหรืออาจมีการดัดแปลงบ้างเพื่อให้มีความเป็นสมัยนิยมมากขึ้น รวมทั้งสามารถประพฤติปฏิบัติกันได้อย่างทั่วถึงด้วยนั้นเอง
3. สรุปความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมตะวันตก โดยส่วนใหญ่ประเทศไทยจะรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาปรับใช่ในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้ชาวตะวันตกเหยียดหยามว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาและล่าสมัย จึงทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศไทยก็ว่าได้ สิ่งที่เรารับมาจากชาติตะวันตกคือ การแต่งกาย การตกแต่งบ้านเรือน เครื่องเรือน การรับประทานอาหาร การกีฬา และนันทนาการ เป็นต้น
สรุปโดยรวมคือคนไทยสามารถรับเอาวัฒนธรรมวัฒนธรรมตะวันตกได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการ ออกแบบตกแต่งบ้าน กายแต่งกาย สถานที่ท่องเที่ยว และอื่นๆ เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้





สารบัญ
บทที่                                                                                                                                                  หน้า
1.บทนำ…………………………………………………………………….8
ความเป็นมาและความสำคัญของเนื้อหา………………………………8
วัตถุประสงค์…………………………………………………………..10
        สมมุติฐาน..............................................................................................10
        ขอบเขตของปัญหา…………………………………………………….10
        นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………10
ประโยชน์ที่คาดว่าน่าจะได้รับ………………………………………… 11
2. เอกสารที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………..12
3. วิธีการดำเนินงานและการค้นคว้า………………………………………...24
4. สรุปผลการศึกษาค้นคว้า…………………………………………………25
5. อภิปลายและข้อเสนอแนะ……………………………………………….27
6. บรรณานุกรม…………………………………………………………….32
7. ภาคผนวก………………………………………………………………..33



บทที่ 1
ความเป็นมาและความสำคัญของเนื้อหา
วัฒนธรรมที่รับมาเพื่อสร้างความทันสมัย
ในการติดต่อกับชาวตะวันตกโดยทั่วไป เจ้านาย และขุนนาง ได้ปรับตัวให้ทันสมัย เพื่อมิให้เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของชาวตะวันตก มีการรับแบบแผนประเพณี และค่านิยมแบบตะวันตก มาปรับปรุงการดำเนินชีวิต และมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม ในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราษฎรทั่วไปได้ยึดถือเป็นแบบอย่าง และหล่อหลอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยในปัจจุบัน อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่เห็นเด่นชัด ได้แก่ แนวความคิดแบบตะวันตก การแต่งกาย การตกแต่งบ้านเรือน เครื่องเรือน การรับประทานอาหาร การกีฬา และนันทนาการ
แนวคิดแบบตะวันตก
เมื่อมีการพัฒนาด้านการศึกษา และการพิมพ์ วรรณกรรมตะวันตก ทั้งที่เป็นแนววิชาการ และบันเทิง จึงได้แพร่หลายเข้ามาสู่สังคมไทย และมีอิทธิพลต่อการสร้างแนวคิด และสำนึกของไทย เช่น แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย การเข้าใจถึงคุณค่าของมนุษย์ และความทัดเทียมกัน แนวคิดต่างๆ เหล่านี้ ได้สะท้อนออกมาในรูปของวรรณกรรม ที่ตีพิมพ์ในภาษาไทย เช่น งานเขียนของเทียนวรรณ ดอกไม้สด ศรีบูรพา และมาลัย ชูพินิจ
การแต่งกาย
ราชสำนักไทย และขุนนาง เป็นกลุ่มแรก ที่รับเอาวัฒนธรรมการแต่งกายแบบตะวันตก ทั้งของหญิงและชายมาประยุกต์ใช้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป ถึง ๒ ครั้ง ก็ทรงฉลองพระองค์แบบตะวันตก ต่อมาการแต่งกายแบบตะวันตกของเจ้านาย ก็กลายเป็น "พระราชนิยม" ที่คนทั่วไปยึดเป็นแบบอย่าง
การตกแต่งบ้านเรือน
นับตั้งแต่ชาวตะวันตกได้นำสถาปัตยกรรม การก่อสร้างอาคาร และการตกแต่งภายในแบบตะวันตก มาสู่สังคมไทย ราชสำนัก และชนชั้นสูง ก็เริ่มปรับวิถีชีวิตตามแบบวัฒนธรรมดังกล่าว จากเดิมที่เคยปลูกสร้างอาคารแบบเรือนไทย และค่อยๆ รับรูปแบบสถาปัตยกรรม และการตกแต่งแบบจีน ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแบบตะวันตก มีการสร้างที่อยู่อาศัย และตกแต่งบ้านเรือนด้วยเครื่องเรือนแบบตะวันตก เช่น โต๊ะ ตู้ ภาพประดับ ของใช้ต่างๆ เช่น ช้อน ส้อม มีด ถ้วย ชาม ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหารด้วยมือ มาเป็นการใช้มีด ช้อน และส้อม แทน วัฒนธรรมเหล่านี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ในปัจจุบัน
การกีฬาและนันทนาการ
การกีฬา และนันทนาการแบบตะวันตก เริ่มเข้ามาแพร่หลาย ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อมีชาวตะวันตก เข้ามาติดต่อค้าขาย และพำนักอยู่ในเมืองไทย การกีฬาแบบตะวันตก ที่แพร่หลายในระยะแรกๆ คือ การขี่ม้า ยิงปืน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กีฬาที่แพร่หลาย ได้แก่ ฟุตบอล รักบี้ เทนนิส แบดมินตัน แข่งม้า จักรยาน กรีฑา ยิมนาสติก ฟันดาบ ในราชสำนัก มีการเล่นกีฬาโครเกต์ (Croquet)
ต่อมาการกีฬาแบบตะวันตก ได้แพร่หลายอยู่ในหลักสูตรพลศึกษาในโรงเรียน มีการแข่งขันกีฬานักเรียนประเภทต่างๆ ที่แพร่หลายได้แก่ กรีฑา ฟุตบอล มวยสากล และยิมนาสติก นอกจากนี้แล้วยังทรงส่งเสริมให้ชาวไทย และชาวต่างประเทศ จัดตั้งสถาบัน ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมนันทนาการ เช่น สโมสร บันเทิง สถานเมืองตรัง ราชกรีฑาสโมสร และสโมสร ราชเสวก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น สำหรับข้าราชบริพารในพระองค์
จะเห็นได้ว่า การรับวัฒนธรรมตะวันตก ทั้งเพื่อพัฒนาบ้านเมือง และเพื่อความทันสมัย ล้วนมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิต และวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวไทย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ มีทั้งผลดีและผลเสียต่อสังคมไทย
การเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลดีต่อสังคมไทย
ประการแรก
การรับความเจริญทางด้านการศึกษา และเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้เกิดการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ กล่าวคือ สังคมไทยมีประชากร ที่มีคุณภาพได้รับการศึกษา อ่านออก เขียนได้ รู้จักคิด และใช้เหตุผล ตลอดจนมีสุขภาพดี ก็จะช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียม อารยประเทศได้
ประการที่สอง
ความรู้และเทคโนโลยีของชาติตะวันตก มีส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่สังคมในด้านต่างๆ เช่น การเพิ่มผลิตผลทางด้านเกษตรและอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มรายได้ และความอยู่ดีกินดี ให้กับพลเมือง นอกจากนี้แล้ว การคมนาคมยังช่วยส่งเสริมให้มีการขยายตัวของชุมชน ในส่วนภูมิภาคช่วยให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และเติบโต มีการสื่อสารติดต่อกันได้สะดวก และรวดเร็ว
ประการที่สาม
วัฒนธรรมตะวันตกมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างการเมืองการปกครอง เช่น การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย การศาล การทหาร ฯลฯ ล้วนมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยยืนหยัด รักษาเอกราชมาได้ตราบเท่าทุกวันนี้
การเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลเสียต่อสังคมไทย
การยึดถือเอาวัฒนธรรมตะวันตกไว้ในสังคมไทยโดยไม่กลั่นกรอง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านค่านิยม โดยเชื่อว่า วัฒนธรรมตะวันตกดีกว่ าวิเศษกว่า วัฒนธรรมไทยดั้งเดิม เห็นว่า วัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งล้าหลัง และคร่ำครึ ค่านิยมเช่นนี้นับว่า เป็นผลเสียต่อบ้านเมือง เพราะก่อให้เกิดความหลงผิด และดูถูกวัฒนธรรมของตนเอง นอกจากนี้แล้ว บางครั้งยังยึดค่านิยมที่ผิดๆ เช่น การยึดมั่นในวัตถุ จนละเลยทางด้านจิตใจ และคุณธรรม การหลงใหล และชื่นชมวัฒนธรรมของชาติอื่นๆ มากเกินไป ก็ทำให้เกิดการครอบงำทางวัฒนธรรม จนกระทั่งขาดความภาคภูมิใจใน มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งนับว่าเป็นผล เสียต่อการพัฒนาสำนึกของความเป็นชาติในระยะ ยาว
จากความเป็นมาและความสำคัญดังกล่าว ทำให้ผู้ศึกษาค้นคว้า มีความสนใจที่จะทำการศึกษาเรื่องการเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทยเพราะ วัฒนธรรมตะวันตกกับวัฒนธรรมไทย มีเนื้อหาที่หน้าสนใจเป็นอย่างมาก และคนไทยก็สามารถผสมผสานวัฒนธรรมทั้งเข้ากันได้อย่างลงตัว
วัตถุประสงค์ของปัญหา
   1.เพื่อศึกษาวัฒนธรรมตะวันตก
   2.เพื่อศึกษาวัฒนธรรมไทยดีหรือไม่
   3.เพื่อศึกษาหาข้อสรุประหว่างวัฒนธรรมตะวันตกไทย
สมมุติฐาน
ศึกษาวัฒนธรรมไทยดีกว่าวัฒนธรรมตะวันตกจริง
ขอบเขตของปัญหา
เนื้อหา
                -วัฒนธรรมตะวันตก
                -วัฒนธรรมไทย
                -สรุประหว่างวัฒนธรรมตะวันตกไทย
ระยะเวลา
   ภาคเรียนที่  1ปีการศึกษา 2557
ตัวแปรที่ใช้ในการค้นคว้า
   ตัวแปรต้น
วัฒนธรรมตะวันตกกับวัฒนธรรมไทยวัฒนธรรมไหนดีกว่า
ตัวแปรตาม
วัฒนธรรมไหนดีกว่า
นิยามศัพท์เฉพาะ
วัฒนธรรม คือ วิถีการดำเนินชีวิต ที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการละเล่น การแสดง การร้องเพลง พฤติกรรม และบรรดาผลงานทั้งมวลที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานด้านจิตกรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนความคิด ความเชื่อ ความรู้ ลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบความรู้สึก ความประพฤติและกิริยาอาการ หรือการกระทำใด ๆ ของมนุษย์ในส่วนรวม ลงรูปเป็นพิมพ์เดียวกันและสำแดงออกมาให้ปรากฏเป็นภาษา ศิลปะ ความเชื่อถือ ระเบียบ ประเพณี ความกลมเกลียว ความก้าวหน้าของชาติและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
วัฒนธรรมไทย หรือศิลปวัฒนธรรมไทย แท้จริงแล้วมีสิ่งที่สวยงาม เป็นเสน่ห์ที่สร้างสีสันให้กับประเทศไทย
วัฒนธรรมตะวันตก คือ วัฒนธรรมที่มันสมัย เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาและสืบทอดต่อกันมาหลายยุกต์สมัย จนกลายเป็นอารยธรรม
ประที่คาดว่าน่าจะได้รับจากโครงงาน
                    -ทราบว่าวัฒนธรรมตะวันตก
                    -ทราบถึงวัฒนธรรมไทย
                    -ทราบถึงความสำคัญวัฒนธรรม


บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า เรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย
มีหัวข้อและรายละเอียดดังนี้
1.ประวัติวัฒนธรรมไทย
2.ประวัติวัฒนธรรมตะวันตก
3.สนธิสัญญาต่างๆ


1.ประวัติวัฒนธรรมไทย
วัฒนธรรมไทย หรือศิลปวัฒนธรรมไทย แท้จริงแล้วมีสิ่งที่สวยงาม เป็นเสน่ห์ที่สร้างสีสันให้กับประเทศไทย แต่หลายคนอาจไม่ทราบถึงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ
วัฒนธรรม คือ
วัฒนธรรม หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิต ที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการละเล่น การแสดง การร้องเพลง พฤติกรรม และบรรดาผลงานทั้งมวลที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานด้านจิตกรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนความคิด ความเชื่อ ความรู้ ลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบความรู้สึก ความประพฤติและกิริยาอาการ หรือการกระทำใด ๆ ของมนุษย์ในส่วนรวม ลงรูปเป็นพิมพ์เดียวกันและสำแดงออกมาให้ปรากฏเป็นภาษา ศิลปะ ความเชื่อถือ ระเบียบ ประเพณี ความกลมเกลียว ความก้าวหน้าของชาติและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ซึ่งวัฒนธรรมของคนแต่ละภาคในประเทศไทยก็มีความเหมือนและแตกต่างกันบ้างตามแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการสืบทอดหรืออาจมีการดัดแปลงบ้างเพื่อให้มีความเป็นสมัยนิยมมากขึ้น รวมทั้งสามารถประพฤติปฏิบัติกันได้อย่างทั่วถึงด้วยนั้นเอง
วัฒนธรรมไทย : ด้านการแต่งกาย
วัฒนธรรมไทยด้านการแต่งกาย ตั้งแต่ในอดีตมานั้นคนไทยมีเอกลักษณ์ด้านการแต่งกายที่ใช้ผ้าไทยซึ่งทำจากผ้าไหม ผ้าทอมือต่างๆ นำมาทำเป็นผ้าสไบสำหรับผู้หญิงไทย ส่วนผู้ชายก็มีการแต่งกายที่นิยมสำหรับชาวบ้านก็คงหนีไม่พ้นผ้าขาวม้าซึ่งนิยมใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันก็ยังมีอยู่
ตัวอย่าง ในสมัยอยุธยาตอนปลายนั้นหญิงไทยจะนุ่งโจงกระเบนสวนเสื้อรัดรูปแขนกระบอก ผู้ชายจะนุ่งผ้าม่วงโจง สวมเสื้อคอปิด ผ่าอกแขนยาว โดยปกติจะไม่นิยมใส่เสื้อ
ซึ่งในปัจจุบันนี้เราหาแทบไม่ได้แล้วสำหรับการแต่งกายแบบนี้ เนื่องจากคนไทยสมัยปัจจุบันนิยมแต่งกายตามแบบนิยมตามชาวยุโรปซึ่งทำให้กายแต่งกายแบบอดีตเริ่มเลื่อนหายไปมาก 
วัฒนธรรมไทย : ด้านภาษา
ต่อไปก็เป็นวัฒนธรรมด้านภาษา ด้วยประเทศไทยมีภาษาเป็นของตนเองมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเนื่องจากประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใดในโลก ทำให้เรามีภาษาไทยใช้มาจนถึงปัจจุบัน และในประเทศไทยก็มีภาษาทางการ คือภาษากลาง ซึ่งคนในประเทศไม่ว่าจะอยู่ในภาคไหนก็สามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษากลางนั้นเอง เพราะในประเทศไทยเรามีถึง 4 ภาคหลักและในแต่ละภาคก็ใช้ภาษาที่แตกต่างกันไปบ้างดังนั้นเพื่อให้คนไทยสามารถสื่อสารตรงกันได้เราจึงมีภาษากลางเกิดขึ้นนั่นเอง
วัฒนธรรมไทย : ด้านอาหาร
วัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับคนไทยไม่น้อยไปกว่าวัฒนธรรมด้านการแต่งกายและวัฒนธรรมด้านภาษาคือวัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่งวัฒนธรรมด้านอาหารของคนไทยนั้นก็มีมาตั้งแต่สมัยอดีตจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีลักษณะอาหารการกินที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วเราจะเรียกว่าวัฒนธรรมอาหารไทย ซึ่งอาหารไทยนั้นมีมากมายที่ขึ้นชื่อของไทย และโด่งดังไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ต้มยำกุ้ง ผัดไทย เป็นต้น อาหารถือเป็นวัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งของไทย ที่คนไทยควรให้ความสำคัญ และถือว่าอาหารไทยก็ไม่แพ้อาหารของชนชาติใด
การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
เหล่านี้คือวัฒนธรรมหลักๆ ที่เรามีอยู่ในประเทศไทยซึ่งจริงๆ แล้วเรายังมีวัฒนธรรมอีกมายมากเพียงแต่อาจจะใช้กันในชุมชนหรือหมู่บ้านของแต่ละท้องถิ่น แต่เมื่อเรามีวัฒนธรรมหลักที่เป็นของเราเองอยู่แล้วเราก็ควรอนุรักษ์ไว้ให้เป็นเอกลักษณ์ของเราไม่ควรให้ต่างชาติมามีอิทธิต่อเรามากเกินไปเพราะวันหนึ่งเราอาจไม่เหลือวัฒนธรรมไทยอะไรให้จดจำอีกเลย ฉะนั้นเรามาร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยไว้เถิดเพื่อลูกหลานเราในอนาคตจะได้ไม่หลงลืมไปและพูดถึงประเทศไทยได้อย่างเต็มความภาคภูมิใจในความเป็นไทยตลอดไป
2.ประวัติวัฒนธรรมตะวันตก
อารยธรรมสำคัญของโลกตะวันตก
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์จะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีที่พักชั่วคราวตามถ้ำ ต้นไม้ใหญ่ เพื่อกัน แดดกันฝนและป้องกันสัตว์ร้าย การอพยพย้ายที่อยู่ขึ้นอยู่กับแหล่งอาหารคือ ฝูงสัตว์ เมื่อ สัตว์อพยพไป ตามฤดูกาลต่าง ๆ มนุษย์ก็อพยพตามไปด้วย ต่อมาในยุคหินมีการคิดค้นการ เพาะปลูก มนุษย์ต้องรอการ เก็บเกี่ยวพืชผล ทำให้มนุษย์ต้องอยู่เป็นหลักแหล่งและพัฒนาเป็น ชุมชน ในยุคต่อมามนุษย์ประดิษฐ์ ตัวอักษรใช้ ในการบันทึกเรื่องราว เมื่อมนุษย์เริ่มรวมตัวกัน หนาแน่นตามแหล่งอุดมสมบูรณ์ ลุ่มแม่น้ำ ต่าง ๆ ของโลกจึงเกิด การจัดระเบียบในสังคมมีการ แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกัน จึงทำให้เกิดความ ชำนาญเฉพาะอย่างขึ้น อันเป็นจุดกำเนิด ของอารยธรรม ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Civillization” มีความหมายว่า สภาพที่พ้นจาก ความ ป่าเถื่อน
   

 อารยธรรมของมนุษย์ยุคประวัติศาสตร์
พัฒนาการของมนุษย์นั้น มิใช่มีเฉพาะลักษณะที่เห็นจากภายนอกเท่านั้น พัฒนาการทางด้าน ความคิด ได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมที่เปลี่ยนไปด้วย พัฒนาการ ทางด้าน ภาษาการสร้างสรรค์งานศิลปะ และการพัฒนาวิถีการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ นำไปสู่การเกิด อารยธรรม ซึ่งต้องใช้เวลาอันยาวนาน และความเจริญทั้งหลายในปัจจุบันล้วน สืบสายมาจากอารยธรรม โบราณ อารยธรรมของมนุษย์ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ1. อารยธรรมของโลกตะวันตก หมายถึง ดินแดนแถบตะวันตกของทวีปเอเชีย รวม เอเชียไมเนอร์ และทวีปแอฟริกา ผลงานทางภูมิปัญญาแยกตามแหล่งที่เกิดได้ดังนี้
สมัยโบราณ
    อารยธรรมลุ่มน้ำไทกรีส-ยูเฟรติส และเอเชียไมเนอร์ เริ่มด้วยชนชาติสุเมรียนประดิษฐ์ อักษรลืม (Cunet forms) เป็นจุดกำเนิดอักษรครั้งแรกของโลก และสถาปัตยกรรม ซักกูเร็ต การประดิษฐ์คันไถ ใช้ ไถนา ชนชาติอะมอไรท์แห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย ได้ประมวลกฎหมาย ขึ้นเป็นครั้งแรกคือ ประมวล กฎหมาย “ฮัมบูราบี” ชนชาติแอสซิเรียนสร้างภาพสลักนูน และ ชนชาติเปอร์เซีย เป็นต้นแบบการสร้าง ถนนมาตรฐาน
    อารยธรรมลุ่มน้ำไนล์ เป็นการสร้างสรรค์อารยธรรมของชาวอียิปต์โบราณ อักษรภาพ “เฮียโรกลฟฟิค” ถือว่าเป็นหลักฐานข้อมูลที่ชาวอียิปต์มีมากกว่าหลักฐานข้อมูลของแหล่ง อารยธรรมอื่น ๆพิรามิด” ครูสานเก็บพระศพของฟาโรห์ ซึ่งใช้น้ำยาอาบศพในรูปของมัมมี่ คือผลงานสถาปัตยกรรม ที่ชาวโลก รู้จักกันดี ประติมากรรมรูปคนตัวเป็นสิงห์หมอบเฝ้าหน้า พิรามิด ถือว่าเป็นประติมากรรม ที่ยิ่งใหญ่
    อารยธรรมกรีก รู้จักกันในนามของอารยธรรมคลาสสิก สถาปัตยกรรมที่เด่นคือ วิหาร พาร์เธนอน ประติมากรรมที่เด่นที่สุดคือ รูปปั้นเทพซีอุส วรรณกรรมดีเด่นคือ อีเลียดและโอดิสต์

 (I liad and Odyssay) ของโฮเมอร์
               อารยธรรมโรมัน เป็นอารยธรรมที่สืบเนื่องจากอารยธรรมกรีก เพราะชาวโรมันได้รวมอาณาจักร กรีกและนำอารยธรรมกรีกมาเป็นแบบแผนในการสร้างสรรค์ อารยธรรมของตน สถาปัตยกรรมที่เด่น ได้แก่ วิหารแพนเธนอน โคลอสเซียม โรมันฟอร์ม วรรณกรรมที่เด่นที่สุดคือ เรื่องอีเนียด (Aeneid)ของเวอร์จิล
สมัยกลาง อยู่ในช่วง ค.ศ. 1401-1494 ผลงานที่เด่นของสมัยกลางมีดังนี้
              อารยธรรมไบแซนไตน์ มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ปัจจุบันคือเมืองฮิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกี ผลงานเด่นด้านสถาปัตยกรรมคือ วิหารโบสถ์เซนต์โซเฟีย
              อารยธรรมของอิสลาม จักรพรรดิ์มุสลิมมีความเจริญรุ่งเรืองในแถบตะวันออกกลาง เพราะ อิทธิพล ของการนับถือพระจ้าพระองค์เดียว ชาวมุสลิมมาประดิษฐ์เลขอารบิคที่ใช้กัน ทั่วโลกในปัจจุบัน ผลงาน เด่นของอารยธรรมอิสลามที่มีต่อโลกคือ เรื่องการแพทย์ ซึ่งเป็นต้น ฉบับตำราแพทย์ปัจจุบัน โดยมหาวิทยาลัยเลอลาโนในประเทศสเปน เป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ แห่งแรกของโลก นอกจากนี้ ชาวมุสลิมยังมีผลงานด้านฟิสิกส์และเป็นเค้าโครงทางวรรณคดี ยุโรปปัจจุบัน นักวิชาการทาง ประวัติศาสตร์ กล่าวว่า “อารยธรรมอิสลามเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมอารยธรรมตะวันตกและ ตะวันออกให้ประสานกัน
สมัยใหม่ มีการฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือที่เรียกว่า เรเนสซอง ประเทศอิตาลีเป็นศูนย์กลาง ด้านงาน ศิลปะ ศิลปินที่เด่น ได้แก่ ลีโอนาโด ดาวินซ์ ผลงานชิ้นสำคัญคือ จิตรกรรม “The Last Supper” และภาพ“Monalisa” ศิลปินเด่นคนอื่น ๆ ได้แก่ ไมเคิลแองเจลโล บอลติชิลี และ วิลเลียมเชคสเปียร์ กวีเด่นที่สุดจากผลงานสำคัญคือ โรเมโอและจูเลียต2. อารยธรรมของโลกตะวันออก ส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่ ของโลก คือ อินเดียและจีน
              อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ ชาวอารยันได้สร้างปรัชญาโบราณ เริ่มจากคัมภีร์พระเวทอันเป็น แม่แบบ ของปรัชญาเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วรรณกรรมที่สำคัญ ได้แก่ พระเวท อุปนิษัท มหากาพย์ มหาภารตะ มหากาพย์ รามายยะ ปุราณะ เป็นต้น กวีที่มีชื่อเสียง ที่สุดมี กาลิทาส จากงาน ศกุณตลา ชัยเทพ (กวีราช) จากผลงานเรื่อง คีตโควินท์ และ รพินทรนาถ สากูร กวีสมัยใหม่จาก วรรณกรรม เรื่อง “คีตาญชลี” ซึ่งได้รับรางวัลโนเวล สาขาวรรณคดี
                อารยธรรมลุ่มน้ำฮวงโหอารยธรรมจีนได้รับอิทธิพลของศาสนา เต๋าและขงจื้อ สถาปัตยกรรม ที่ยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือ “กำแพงเมืองจีน” กวีที่สำคัญคือ ซือหมาเจี๋ยน ผลงาน ที่สำคัญคือ การบันทึกประวัติศาสตร์และวรรณกรรมที่สำคัญคือ สามก๊ก และความรักในหอแดง
สมัยกลาง อยู่ในช่วง ค.ศ. 1401-1494 ผลงานที่เด่นของสมัยกลางมีดังนี้
              อารยธรรมไบแซนไตน์ มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ปัจจุบันคือเมืองฮิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกี ผลงานเด่นด้านสถาปัตยกรรมคือ วิหารโบสถ์เซนต์โซเฟีย
              อารยธรรมของอิสลาม จักรพรรดิ์มุสลิมมีความเจริญรุ่งเรืองในแถบตะวันออกกลาง เพราะ อิทธิพล ของการนับถือพระจ้าพระองค์เดียว ชาวมุสลิมมาประดิษฐ์เลขอารบิคที่ใช้กัน ทั่วโลกในปัจจุบัน ผลงาน เด่นของอารยธรรมอิสลามที่มีต่อโลกคือ เรื่องการแพทย์ ซึ่งเป็นต้น ฉบับตำราแพทย์ปัจจุบัน โดยมหาวิทยาลัยเลอลาโนในประเทศสเปน เป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ แห่งแรกของโลก นอกจากนี้ ชาวมุสลิมยังมีผลงานด้านฟิสิกส์และเป็นเค้าโครงทางวรรณคดี ยุโรปปัจจุบัน นักวิชาการทาง ประวัติศาสตร์ กล่าวว่า “อารยธรรมอิสลามเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมอารยธรรมตะวันตกและ ตะวันออกให้ประสานกัน
สมัยใหม่ มีการฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือที่เรียกว่า เรเนสซอง ประเทศอิตาลีเป็นศูนย์กลาง ด้านงาน ศิลปะ ศิลปินที่เด่น ได้แก่ ลีโอนาโด ดาวินซ์ ผลงานชิ้นสำคัญคือ จิตรกรรม “The Last Supper” และภาพ“Monalisa” ศิลปินเด่นคนอื่น ๆ ได้แก่ ไมเคิลแองเจลโล บอลติชิลี และ วิลเลียมเชคสเปียร์ กวีเด่นที่สุดจากผลงานสำคัญคือ โรเมโอและจูเลียต  

3.สนธิสัญญาต่างๆ
สนธิสัญญาเบอร์นี (อังกฤษ: Burney Treaty) คือ สนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ฉบับแรก ที่ไทยได้ทำกับประเทศตะวันตกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเฮนรี เบอร์นี ได้เป็นทูตอังกฤษเดินทางเข้ามายังประเทศไทยพ.ศ. 2368 เพื่อเจรจาปัญหาทางการเมืองและการค้ากับไทย ในด้านการค้า รัฐบาลอังกฤษมีความประสงค์ที่จะขอเปิดสัมพันธไมตรีทางการค้ากับไทย และขอความสะดวกในการในการค้าได้โดยเสรี การเจรจาได้เป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนพ.ศ. 2369 และมีการลงนามในสนธิสัญญากัน
สนธิสัญญาเบอร์นี ประกอบไปด้วยสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีรวม 14 ข้อ และมีสนธิสัญญาทางการพาณิชย์แยกออกมาอีกฉบับหนึ่งรวม 6 ข้อ ที่เกี่ยวกับการค้า ได้แก่ ข้อ 5 ให้สิทธิพ่อค้าทั้งสองฝ่ายค้าขายตามเมืองต่าง ๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเสรีตามกฎหมาย ข้อ 6 ให้พ่อค้าทั้งสองฝ่ายเสียค่าธรรมเนียมของอีกฝ่าย และข้อ 7 ให้สิทธิแก่พ่อค้าจะขอตั้งห้าง เรือนและเช่าที่โรงเรือนเก็บสินค้าในประเทศอีกฝ่ายหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรมการเมือง

เบื้องหลัง

หลังจากบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษตั้งอาณานิคมขึ้นบนเกาะปีนัง ใน พ.ศ. 2329 แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษก็เริ่มมีการเมืองเข้ามาแทรก และเป็นที่คาดว่าอังกฤษต้องการขยายอิทธิพลเข้าครอบครองคาบสมุทรมลายูต่อไป ต่อมา ในปี พ.ศ. 2364 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ยกทัพมาตีเมืองไทรบุรี ซึ่งเจ้าเมืองคนเก่าได้ยกปีนังให้อังกฤษ สุลต่านไทรบุรีก็ทิ้งเมืองหนีไปยังเกาะปีนังทหารไทยไล่ติดตามไปก็ถอยกลับ เนื่องจากไม่ต้องการรบกับอังกฤษ ยอน ครอเฟิดเข้ามาเจรจากับไทยทั้งในด้านการค้าและขอให้สุลต่านไทรบุรีกลับไปครองเมืองอย่างเดิมก็ไม่ประสบผลแต่อย่างใด
สาเหตุที่ไทยกับอังกฤษกลับมาเจรจากันอีกครั้งมีหลายสาเหตุด้วยกัน อธิบายได้ว่า การที่ไทยได้ไทรบุรีอยู่ในปกครองนั้น ทำให้เประและสลังงอของอังกฤษเสี่ยงต่อการถูกยึดครอง อังกฤษต้องการให้ไทยถอนตัวจากไทรบุรี และให้สุลต่านกลับไปปกครองดังเดิม ครั้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2367 รอเบิร์ตฟุลเลอตันได้เป็นเจ้าเมืองปีนังคนใหม่ ต้องการขับไล่ไทยจากไทรบุรี ก็ขอให้รัฐบาลอินเดียส่งทูตมาบังคับไทยไม่ให้แผ่อิทธิพลในคาบสมุทรมลายู ด้านการสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งแรก การรบไม่คืบหน้าเท่าที่ควร อังกฤษต้องการให้ไทยช่วยรบ นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียได้รับคำฟ้องจากพ่อค้าอังกฤษว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการค้าขายกับไทย จึงเป็นสาเหตุให้รัฐบาลอินเดียส่งเฮนรี เบอร์นีมาเป็นทูตเจรจากับไทย

จุดประสงค์ของอังกฤษ

ในทางการเมือง อังกฤษต้องการให้ไทยช่วยรบกับพม่า และส่งยานพาหนะให้แก่อังกฤษ ตลอดจนต้องการให้สุลต่านไทรบุรีกลับไปครองเมืองดังเดิม และให้ไทยเลิกแผ่อำนาจลงไปใต้เมืองปัตตานี ส่วนในทางการค้า อังกฤษต้องการให้ไทยผ่อนปรนการผูกขาดการค้าและเรียกเก็บภาษีอากรในการค้า ให้เหมือนกับที่พ่อค้าไทยมีเสรีภาพทางการค้าเมื่อค้าขายกับอาณานิคมอังกฤษ

การเจรจา

สัญญาลำลอง

เฮนรี เบอร์นีได้ลองทำหนังสือสัญญาลำลองกับเจ้าพระยานคร (น้อย) ที่เมืองนครศรีธรรมราชก่อน เพื่อดูว่าไทยต้องการทำสนธิสัญญาหรือไม่ โดยสัญญาลำลองมีใจความว่า
(1) เจ้าพระยานครสัญญาว่าจะไม่ส่งทหารไปยังเประและสลังงอ บริษัทอังกฤษให้สัญญาว่าจะไม่ยึดครองเประ
(2) บริษัทอังกฤษจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับไทรบุรี แต่ถ้าสุลต่านไทรบุรีได้กลับมาครองเมือง ก็สัญญาจะส่งเครื่องบรรณาการถวายทุกสามปี และเงินปีละ 4,000 เหรียญสเปน เจ้าพระยานครสัญญาว่าถ้าสุลต่านไทรบุรีได้กลับครองเมืองก็จะไม่ขัดขวางและไม่รุกราน
(3) เจ้าพระยานครสัญญาจะช่วยปราบโจรสลัดในทะเลด้านตะวันตกของคาบสมุทรมลายู และยินดีช่วยอังกฤษในการเจรจาที่กรุงเทพต่อไป
เมื่อรัฐบาลอินเดียพิจารณาสัญญาลำลองดังกล่าวแล้ว ก็เห็นว่าไทยยินยอมเจรจาตามแนวทางที่ตนต้องการ จึงให้เบอร์นีเดินทางไปเจรจาที่กรุงเทพมหานคร

กรุงเทพมหานคร

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 ทูตอังกฤษได้บันทึกข้อเรียกร้องทั้งหลายในระหว่างการเจรจาว่า
1.                                               ไทยควรปล่อยให้พ่อค้าอังกฤษมีเสรีภาพทางการค้าเหมือนกับที่พ่อค้าไทยได้รับเสรีภาพดังกล่าวเมื่อไปค้าขายกับดินแดนในบังคับอังกฤษ และขอให้เปิดเผยพิกัดอัตราค่าธรรมเนียม อย่าปิดบัง
2.                                               ไม่ควรให้การค้ากับชาวต่างชาติขึ้นกับเจ้าพระยาพระคลังคนเดียว เพราะไม่เคยอนุญาตให้พ่อค้าไทยคนใดขายให้หรือซื้อสินค้าจากพ่อค้าอังกฤษ
3.                                               กรมพระคลังสินค้าโก่งราคาสินค้ามาก
4.                                               พ่อค้าต่างชาติไม่สามารถขายสินค้าแก่เอกชนได้ ต้องรอข้าราชการกรมท่าเลือกซื้อ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก
5.                                               มีการเก็บภาษีรุนแรงเกินควร ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมโดยไม่แจ้งให้ทราบ
6.                                               ต้องการให้ไทยลดค่าธรรมเนียมแก่เรือที่สัญจรไปมาบ่อย
ทั้งนี้ได้ยื่นข้อเสนอให้ไทยพิจารณา ความว่า
1.                                               ให้เรือต่างชาติยื่นรายชื่อคนบนเรือ และเครื่องสรรพาวุธต่อเสนาบดีกรมท่า หากรายการที่ยื่นไม่ตรงให้ริบได้
2.                                               ให้เจ้าพนักงานวัดส่วนกว้างของเรือ แล้วเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเป็นอัตราที่ชัดเจน โดยเสนอว่าควรเก็บวาละ 1,500 บาท
3.                                               ขอให้ลดการเก็บค่าธรรมเนียมแก่เรือที่สัญจรไปมาบ่อย และไม่ควรเรียกเก็บค่าจ้างเรือลำเลียงสินค้าขนาดเล็กในการช่วยขนสินค้า
4.                                               ขอให้พ่อค้าอังกฤษและสุหรัดมีเสรีภาพในการซื้อขายอย่างเต็มที่
5.                                               ขอให้ไทยแต่งตั้งเจ้าพนักงานไว้ตรวจการตวงข้าวและเกลือ และกำหนดให้เสียค่าจ้างเป็นพิกัดอัตราแน่นอน
6.                                               เมื่อเรือมาถึงปากน้ำ ขอให้ขนเฉพาะกระสุนปืนและดินดำขึ้นบก
7.                                               หากคนในบังคับอังกฤษจะเรียกหนี้สินจากคนไทย ให้ยื่นคดีต่อเจ้าพระยาพระคลังและข้าราชการ และหากไต่สวนพบว่าผิดตามที่กล่าวหา ให้ลูกหนี้มาชำระหนี้แก่คนนั้น
8.                                               ขอให้เรืออังกฤษและพ่อค้าอังกฤษ มีเสรีภาพจะไปค้าขายตามเมืองท่าของไทยได้ทุกเมือง และคนในบังคับอังกฤษจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย
ภายหลังการยื่นบันทึกดังกล่าวได้ 11 วัน รัฐบาลไทยทราบว่าพม่ายอมแพ้อังกฤษ ทำให้เป็นการไม่เหมาะที่จะไม่ยอมลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวตามที่อังกฤษต้องการ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงได้รับกราบทูลให้ทำสนธิสัญญาไว้ พระองค์จึงทรงเชิญเฮนรี เบอร์นีเข้ามาทำสนธิสัญญายังที่พัก

การลงนาม

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2369 ไทยและอังกฤษได้ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาสองฉบับ เป็นหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าขาย หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงถอดพระยาชุมพร (ซุย) ออกจากตำแหน่ง "เพราะมีความผิเดไปตีครัวมะริดของอังกฤษ ๆ เข้ามาตามขอดี ๆ ก็ไม่ให้ ได้สู้รบกันก็แพ้เขา ทำให้เสียพระเกียรติยศ"
ในหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าขาย พบว่า ผู้แทนรัฐบาลไทยได้รักษาเกียรติยศและผลประโยชน์ของประเทศชาติไว้ดีที่สุด โดยไม่ยอมให้อังกฤษตั้งกุงสุลและเอากฎหมายอังกฤษมาใช้ในไทย โดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ ผู้กำกับกรมท่าและกรมมหาดไทย เป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากในการเจรจาดังกล่าว ทรงถูกมองว่าเป็นผู้ให้ "ความเห็นของรัฐบาลไทย"
หนังสือสัญญาดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่ไทยยอมทำกับต่างประเทศ รัฐบาลไม่ค่อยเต็มใจทำเนื่องจากเนื้อหาทำให้รัฐบาลและขุนนางกรมท่าขาดรายได้

สาระสำคัญ

1.                                               ให้เรือพ่อค้าอังกฤษปฏิบัติตามธรรมเนียมไทย ห้ามมิให้ขายกระสุนดินดำแก่เอกชน ให้ขายเฉพาะในหลวงเท่านั้น แต่สินค้าอื่นสามารถค้าขายได้อย่างเสรี ค่าธรรมเนียมสลุบกำปั่นรวมเบ็ดเสร็จ ถ้ามีสินค้าเข้ามาขาย คิดวาละ 1,700 บาท ถ้าไม่มีสินค้าเข้ามาขาย คิดวาละ 1,500 บาท โดยไม่เรียกเก็บจังกอบ ภาษี และค่าธรรมเนียมเพิ่ม
2.                                               เรือพ่อค้าชาวอังกฤษจะต้องมาทอดสมอคอยอยู่นอกสันดอนปากแม่น้ำก่อน นายเรือจะต้องให้คนนำบัญชีรายชื่อสินค้าที่บรรทุกมาตลอดจนอาวุธยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ แจ้งแก่เจ้าเมืองปากน้ำ เจ้าเมืองปากน้ำจะให้คนนำร่องและล่ามกฎหมายมาส่ง แล้วจึงจะนำเรือนั้นเข้ามายังแผ่นดิน
3.                                               เจ้าพนักงานสามารถตรวจสอบเรือสินค้าได้ แล้วเอาสินค้ายุทธภัณฑ์ไว้ ณ เมืองปากน้ำ แล้วเจ้าเมืองจึงอนุญาตให้เรือมาถึงกรุงเทพมหานคร
4.                                               เมื่อเรือสินค้ามาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว เจ้าพนักงานตรวจสอบเรือสินค้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้ค้าขายกันอย่างเสรี (ตามข้อ 1) เวลาจะขนสินค้ากลับ จะไม่คิดค่าธรรมเนียมเรือลำเลียง
5.                                               ถ้าเรือบรรทุกสิ่งของเสร็จ ก็ให้นายเรือขอเบิกล่องต่อเจ้าพระยาพระคลัง แล้วไปหยุดทอดสมอตรงที่เคยทอด (ตามข้อ 2) เจ้าพนักงานตรวจสอบแล้วรับเอายุทธภัณฑ์กลับไป
6.                                               พ่อค้าอังกฤษ ตลอดจนผู้บังคับการเรือและลูกเรือทั้งหลายซึ่งเข้ามาค้าขายยังเมืองไทย จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยทุกประการ คนอังกฤษและคนไทยย่อมได้รับโทษเท่ากัน

ผลที่ตามมา

ปฏิกิริยาต่อเบอร์นี

เบอร์นีถูกกรมการเมืองปีนังและชาวอังกฤษในแหลมมลายูตำหนิเป็นอันมาก เพราะสนธิสัญญาดังกล่าวเสียเปรียบไทยทั้งในด้านการเมืองและการค้า มีคนหนึ่งถึงกับส่งหนังสือจะท้าดวลกับเบอร์นีเลยทีเดียว แต่รัฐบาลอินเดียกล่าวยกย่องเบอร์นี และปูนบำเหน็จให้เป็นเจ้าเมืองตะนาวศรี ฝ่ายเบอร์นีเองก็เป็นห่วงว่าไทยอาจจะหลีกเลียงไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาและข้อตกลงดังกล่าว เช่นเดียวกับรอเบิร์ตฟุลเลอตัน เจ้าเมืองปีนัง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

การที่ไทยไม่ยอมส่งออกข้าวแม้จะได้รับการโน้มน้าวจากทูตอังกฤษ ให้โทษแก่เศรษฐกิจไทยมากกว่าให้คุณ เพราะในอดีตที่พระมหากษัตริย์รัชกาลก่อน ๆ ทรงห้ามมิให้ส่งออกข้าวนั้น เป็นเพราะเกิดศึกสงครามและมีการขาดแคลนข้าว นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอันว่างศึกมาก็มีการผ่อนผันให้ส่งออกข้าวได้เป็นครั้งคราว
สนธิสัญญาดังกล่าวทำให้รัฐบาลไทยเสียผลประโยชน์ จึงมีการเพิ่มภาษีอากรให้ชดเชยรายได้ที่ขาดหายไป โดยมีการเรียกเก็บภาษีอากรใหม่ถึงเกือบ 40 อย่าง[10] ทั้งนี้ เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 3 บ้านเมืองกลับมีสงครามมากกว่าสมัยรัชกาลที่ 2 อันทำให้รัฐบาลมีรายได้มากกว่าสมัยรัชกาลที่ 2 มาก ถึงกับสามารถให้เงินเดือนแก่เจ้านายได้ และเพิ่มเบี้ยหวัด (โบนัส) ให้แก่เจ้านายและข้าราชการได้อีกด้วย
แต่เดิมการผูกขาดการค้านั้นมีไว้เพื่อหาเงินสำหรับใช้จ่ายบำรุงบ้านเมืองและการศาสนา เมื่อรัฐบาลไม่สามารถผูกขาดสินค้าได้อีกแล้วก็ใช้วิธีโอนสิทธิ์ให้แก่เจ้าภาษีแทน ทำให้สินค้าแพงขึ้น ราษฎรได้รับความเดือดร้อน สวนทางกับข้าวเปลือกที่ราคาตกต่ำมาก ในขณะที่รัฐบาลมีรายได้ปีละหลายล้านบาท

การเข้ามาทำสนธิสัญญาของสหรัฐอเมริกา

ความสำเร็จของอังกฤษในสนธิสัญญาเบอร์นี ทำให้สหรัฐอเมริกาสนใจต้องการเข้ามาทำสนธิสัญญาด้วยอีกประเทศหนึ่ง โดยใน พ.ศ. 2376 แอนดรูว์แจ็คสันประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ส่งเอ็ดมันด์ โรเบิร์ตส์มายังประเทศไทย นับเป็นทูตอเมริกันคนแรกสนธิสัญญาดังกล่าวมีเนื้อหาส่วนใหญ่เหมือนกับสนธิสัญญาเบอร์นี แต่มีความพิเศษตรงที่สหรัฐอเมริกาได้รับสิทธิ์ให้สามารถตั้งกงสุลได้หากมีประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามาตั้งกงสุลขึ้นก่อนหน้านั้น

การขอแก้ไขสนธิสัญญา

หลังจากที่ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาไปแล้ว พ่อค้าฝรั่งยังรู้สึกไม่พอใจเพราะรู้สึกเสียค่าธรรมเนียมแพงเกินควร ต้องอยู่ใต้บังคับกฎหมายและธรรมเนียมไทย อีกทั้งยังไม่พอใจที่รัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาต่าง ๆ ฝ่ายรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจึงส่งทูตชื่อ โจเซฟบัสเลสเตีย มาเจรจาแก้ไขสนธิสัญญา โดยจะขอตั้งกงสุลอเมริกัน และขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมเหมา แต่การแก้ไขสนธิสัญญาไม่ประสบความสำเร็จ เพราะบัลเลสเตียปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับฐานะทูต ที่สำคัญคือเป็นเพียงพ่อค้ามิใช่ขุนนาง ทำให้คนไทยที่เห่อยศศักดิ์มีปฏิกิริยาชิงชังฝรั่ง ว่าไม่เคารพพระเจ้าแผ่นดินไทย บัสเลสเตรียก็เดินทางออกจากประเทศเมื่อปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2393
ในเวลาไล่เลี่ยกันน้น สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษก็ได้ทรงส่งทูตมายังกรุงเทพ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2393 โดยมีจุดประสงค์อย่างเดียวกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่การเจรจาคราวนี้ล้มเหลวอีกเช่นกัน เพราะราชทูต เซอร์เจมส์บรุค ถือหนังสืออัครมหาเสนาบดีมาให้เสนาบดีกรมท่า จึงทำให้ไม่ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ส่วนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงรู้สึกไม่ได้รับเกียรติจากทูตอังกฤษ เพราะไม่ได้เชิญพระราชสาส์นพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษมาถวายด้วย
สำหรับเนื้อหาที่ขอแก้ไขสนธิสัญญานั้น สามารถสรุปได้ว่า
(1) ห้ามมิให้ขายฝิ่นในกรุงเทพ หากฝ่าฝืนให้ใช้เงินหรือจำไว้
(2) สินค้าเจ็ดประการ ได้แก่ น้ำมัน, ปืน ลูกปืน และดินปืน, เหล็ก, กระทะเหล็ก, เหล็กกล้า, สุรา และไม้สัก ให้กรุงเทพคิดอัตราภาษีได้ตามความเห็นชอบ เรือพ่อค้าอังกฤษที่มีสินค้าเหล่านี้จะนำเข้าหรือส่งออกไม่ได้ ต้องได้รับอนุญาตจากข้าราชการไทย
(3) ขออย่าให้เสียภาษีสินค้าทั้งปวง ยกเว้นที่กำหนดในคำสัญญานี้ (ดูข้อ 5)
(4) ขอให้คนอังกฤษและคนไทยค้าขายอย่างเสรี (ยกเว้นสินค้าในข้อ 2) และอย่าให้มีการเก็บภาษีเพิ่มจากที่ได้จ่ายไปครั้งแรกแล้ว
(5) ขอให้ใช้ภาษีตามนี้แทนภาษีเก่า: ข้าวสาร - หาบละสลึง, น้ำตาลทราย - หาบละ 2 สลึง, ครั่ง - หาบละ 2 สลึง, เขาสัตว์ - หาบละสลึง, น้ำตาลทรายแดง - หาบละสลึง, เกลือ - เกวียนละ 2 บาท, ไม้ฝาง -หาบละเฟื้อง
(6) ขอให้เรืออังกฤษคิดค่าปากเรือวาละ 500 บาท โดย 1 วาคิดเป็น 78 นิ้วอังกฤษ ใช้แทนค่าปากเรือและภาษีเก่าทั้งหมด กรณีไม่ได้นำสินค้ามาขาย ขอให้ไม่เสียค่าปากเรือ
ฝ่ายไทยปฏิเสธไม่ยอมรับการแก้ไขสนธิสัญญาด้วยเหตุผลยืดยาว ราชทูตอังกฤษข่มโทสะไม่ได้ก็ขู่ว่าจะไปบอกรัฐบาล แล้วก็เดินทางกลับประเทศไป มิชชันนารีทั้งหลายก็เกรงว่าจะเกิดสงครามระหว่างไทยกับอังกฤษ หรือไทยกับสหรัฐอเมริกา ก็เร่งจะหนีออกจากไทย




บทที่ 3
วิธีกาดำเนินการศึกษาค้นคว้า
ในการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย ผู้ดำเนินการศึกษาค้นคว้าได้มีวิธีการดังขั้นตอนต่อไปนี้
1. กำหนดขอบเขตในการศึกษาค้นคว้า ผู้ดำเนินการศึกษาได้กำหนดขอบเขตในการศึกษาค้นคว้าดังนี้
1.1 ขอบเขตการศึกษา ได้แก่
                เพื่อศึกษาวัฒนธรรมตะวันตก
                เพื่อศึกษาวัฒนธรรมไทย
                เพื่อหาข้อสรุประหว่างวัฒนะธรรมตะวันตก ไทย
                1.2 ขอบเขตด้านประชากรได้แก่
                นักเรียนชั้นมะยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 5 จำนวน 34 คน
1.3 ขอบเขตด้านระยะเวลา
ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2557
2. วิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้เรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย เป็นแผ่นพับเพื่อเผยแพร่ให้กับผู้ที่สนใจ
3. นำรายงานไปวิเคราะห์สังเคราะห์ไว้ไปให้คุณครูประจำวิชาตรวจสอบความถูกต้องก่อนการเผยแพร่
4. ออกแบบสำรวจความคิดเห็นเรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย โดยออกแบบประเมินค่า เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย กับ วัฒนธรรมตะวันตกกับไทย วัฒนธรรมไหนดีกว่า แล้วนำแบบสำรวจไปให้คุณครูประจำวิชาตรวจสอบความถูกต้องด้านเนื้อหาและโครงสร้าง หลักจากนั่นนำเอาข้อเสนอแนะมาปรับปรุงแก้ไขมาแล้วพิมพ์เป็นฉบับจริง
5. สรุปผลการตรวจความคิดเห็นโดยรวมคือ สามารถสรุปได้ว่าคนไทยสามารถรับเอาวัฒนธรรมวัฒนธรรมตะวันตกได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการ ออกแบบตกแต่งบ้าน กายแต่งกาย สถานที่ท่องเที่ยว และอื่นๆ เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้



บทที่ 4
สรุปผลการศึกษาค้นคว้า
ในการศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย ผู้นำเสนอการศึกษาค้นคว้าได้กำหนดวัตถุประสงค์และสมมุติฐานไว้ดังนี้
วัตถุประสงค์
                   -เพื่อศึกษาวัฒนธรรมตะวันตก
-เพื่อศึกษาวัฒนธรรมไทย
-เพื่อศึกษาหาข้อสรุประหว่างวัฒนะธรรมตะวันตก ไทย
สมมุติฐาน
   -วัฒนธรรมไทยดีกว่าวัฒนธรรมตะวันตก
สรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
1. วัฒนธรรมตะวันตกมีดังนี้
1.1 อารยธรรมสำคัญของโลกตะวันตก ในยุคก่อนประวัติศาสตร์มนุษย์มีที่พักอาศัยอยู่ไม่หลักแหล่ง และอพยพตามฤดูกาล ต่อมาในยุคหินมนุษย์รู้จักการเพาะปลูก และต้องรอคอยการกับเกี่ยวผลิต จึงทำให้มนุษย์อยู่เป็นหลักแหล่งและมีการพัฒนาชุมชน แบ่งแยกหน้าที่ และจักระเบียบชุมชน จึงทำให้เกิดการชำนาญเฉพาะอย่างขึ้น อันเป็นจุดกำเนิดของอารยธรรม ประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
2.วัฒนธรรมไทย หมายถึง วัฒนธรรมไทย หรือศิลปวัฒนธรรมไทย แท้จริงแล้วมีสิ่งที่สวยงาม เป็นเสน่ห์ที่สร้างสีสันให้กับประเทศไทย แต่หลายคนอาจไม่ทราบถึงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ
วัฒนธรรม หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิต ที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการละเล่น การแสดง การร้องเพลง พฤติกรรม และบรรดาผลงานทั้งมวลที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานด้านจิตกรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนความคิด ความเชื่อ ความรู้ ลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบความรู้สึก ความประพฤติและกิริยาอาการ หรือการกระทำใด ๆ ของมนุษย์ในส่วนรวม ลงรูปเป็นพิมพ์เดียวกันและสำแดงออกมาให้ปรากฏเป็นภาษา ศิลปะ ความเชื่อถือ ระเบียบ ประเพณี ความกลมเกลียว ความก้าวหน้าของชาติและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ซึ่งวัฒนธรรมของคนแต่ละภาคในประเทศไทยก็มีความเหมือนและแตกต่างกันบ้างตามแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการสืบทอดหรืออาจมีการดัดแปลงบ้างเพื่อให้มีความเป็นสมัยนิยมมากขึ้น รวมทั้งสามารถประพฤติปฏิบัติกันได้อย่างทั่วถึงด้วยนั้นเอง
3. สรุปความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมตะวันตก โดยส่วนใหญ่ประเทศไทยจะรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาปรับใช่ในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้ชาวตะวันตกเหยียดหยามว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาและล่าสมัย จึงทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศไทยก็ว่าได้ สิ่งที่เรารับมาจากชาติตะวันตกคือ การแต่งกาย การตกแต่งบ้านเรือน เครื่องเรือน การรับประทานอาหาร การกีฬา และนันทนาการ เป็นต้น
สรุปโดยรวมคือคนไทยสามารถรับเอาวัฒนธรรมวัฒนธรรมตะวันตกได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการ ออกแบบตกแต่งบ้าน กายแต่งกาย สถานที่ท่องเที่ยว และอื่นๆ เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้






บทที่ 5
อภิปรายและขอเสนอแนะ
จากการศึกษาค้นคว้า เรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่าวัฒนธรรมที่รับมาเพื่อสร้างความทันสมัย ในการติดต่อกับชาวตะวันตกโดยทั่วไป เจ้านาย และขุนนาง ได้ปรับตัวให้ทันสมัย เพื่อมิให้เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของชาวตะวันตก มีการรับแบบแผนประเพณี และค่านิยมแบบตะวันตก มาปรับปรุงการดำเนินชีวิต และมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม ในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราษฎรทั่วไปได้ยึดถือเป็นแบบอย่าง และหล่อหลอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยในปัจจุบัน อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่เห็นเด่นชัด ได้แก่ แนวความคิดแบบตะวันตก การแต่งกาย การตกแต่งบ้านเรือน เครื่องเรือน การรับประทานอาหาร การกีฬา และนันทนาการ
การเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตกในแบบต่างๆ เช่น
1. โปรตุเกสโปรตุเกศเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับอยุธยาในช่วง พุทธศตวรรษที่ 21 โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือต้องการผลประโยชน์ทางการค้าและเผยแผ่ศาสนา
   หลังจากโปรตุเกสยึดครองมะละกาได้ส่งทุ๖เข้ามาเจริญพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2054 ตรงกับสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าของสองประเทศได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการและดำเนินไปด้วยดี โปรตุเกสได้รับอนุญาตให้ค้าขายได้ที่กรุงศรีอยุธยา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และมะริด
   โปรตุเกสขายปืนและอาวุธสงครามให้แก่อยุธยาเป็นการแลกเปลี่ยนกับสิทธิในการค้า ชุมชนชาวโปรตุเกสได้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ประกอบด้วยบาทหลวง พ่อค้า และทหารรับจ้าง เหล่านี้รับราชการในราชสำนักอยุธยาเช่นเดียวกับที่รับราชการอยู่ในรัฐต่างๆ ในเอเชีย โดยเป็นผู้เชียวชาญในเรื่องอาวุธปืน การสร้างป้อมปราการและการทำสงครามตามแบบฉบับของยุโรป การที่กษัตริย์อยุธยามีอาวุธปืนไว้ใช้ทำให้เป็นที่ยำเกรงของศัตรู บาทหลวงชาวโปรตุเกสยังได้สร้างโบสถ์บนพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโปรตุเกส
   2. สเปนชาวสเปนสามารถตั้งมั่นอยู่ที่เมืองมะนิลาในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ผู้สำเร็จราชการสเปนที่กรุงมะนิลา ส่งคณะทูตเข้าติดต่อกับกรุง-ศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2141 ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแต่สัมพันธภาพระหว่างไทยกับสเปนไม่ได้ราบรื่นและขาดความต่อเนื่อง เนื่องจากสเปนสนับสนุนให้เขมรซึ่งเป็นประเทศราชของไทยเป็นอิสระจากอยุธยา โดยหวังจะใช้เป็นศูนย์กลางการค้าและเป็นแหล่งเผยแผ่คริสต์ศาสนาจึงบาดหมางกับไทย
   ใน พ.ศ. 2167 สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ไทยกับสเปนขัดแย้งกัน เนื่องจากสเปนและโปรตุเกสได้ยึดเรือสินค้าของฮอลันดาในแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ถูกอยุธยาบังคับให้คืนแก่ฮอลันดาความสัมพันธ์กับสเปนจึงเสื่อมลง และขาดการติดต่อกันไปประมาณ 60 ปี สเปนจึงกลับเข้ามาติดต่ออีกครั้งในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ความสัมพันธ์ยังคงไม่ราบรื่นเช่นเคย
  
สเปนส่งคณะทูตมายังกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งครั้งหนึ่งใน พ.ศ. 2261สมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 ( พระเจ้าท้ายสระ ) แต่สัมพันธภาพไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น
   ชาวสเปนไม่ได้ตั้งรกรากในกรุงศรีอยุธยาจึงไม่ได้มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมหลงเหลือให้เห็นเด่นชัดทูตมากกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อถ่วงดุลอำนาจราชและคนไทยยอมรับนับถือคริสต์ศาสน
   3. ฮอลันดาไปช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 อิทธิพลทางการค้าของโปรตุเกสในเอเชียลดน้อยลงไปอย่างมาก เนื่องจากประเทศโปรตุเกสถูกประเทศสเปนยึดครองระหว่าง พ.ศ. 2123 จนถึง พ.ศ.2183 ทำให้ฮอลันดาและอังกฤษได้ก่อตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของตนขึ้น เพื่อผูกขาดการค้าในแถบตะวันออก บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาได้รับมอบเอกสิทธิ์ในการเจรจาทางการค้ากับเจ้าผู้ปกครองชาวพื้นเมืองต่างๆ และมีกองทหารและกองเรือรบเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ทางการค้าในที่สุดฮอลันดาสามารถตั้งสถานีการค้าขั้นที่เมืองปัตตาเวียเพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกทั้งหมด
   ฮอลันดาเข้าติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกใน พ.ศ. 2147 โดยผ่านเมืองปัตตานีประเทศราชของเมืองปัตตานีในขณะนั้น จุดมุ่งหมายสำคัญของฮอลันดา คือต้องการซื้อสินค้าจากจีนและหาช่องทางเข้าไปค้าขายในประเทศจีน โดยอาศัยเรือสำเภาของไทย แต่ไทยยินดีต้อนรับเฉพาะเรื่องที่ชาวฮอลันดาจะเข้ามาค้าขายเท่านั้นดังนั้นบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาจึงผิดหวังที่ไม่สามารถอาศัยเรื่อสำเภาของอยุธยาเข้าไปค้าขายยังประเทศจีนได้ แต่ฮอลันดาก็ยังสนใจที่อยู่หาลู่ทางการค้าที่กรุงศรี-อยุธยาต่อไป ทั้งนี้เนื่องจากอยุธยามีสินค้ามากมายทั้งสินค้าประเภทของป่าและธัญญาหาร เช่น ไม้ยาง ไม้กฤษณา ดีบุก หนังสัตว์ น้ำมันมะพร้าว และข้าว ชาวฮอลันดาจึงเห็นประโยชน์จากการเข้ามาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา และตั้งสถานีการค้าที่กรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 2151-2308
   ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดากับราชสำนักอยุธยาในปลาย พุทธ-ศตวรรษที่ 22 รุ่งเรืองมาก คณะทูตไทยเดินทางไปกรุงเฮก ถวายพระราชสาสน์แด่กษัตริย์ฮอลันดาใน พ.ศ. 2151 นับเป็นคณะทูตไทยชุดแรกที่เดินทางไปถึงทวีปยุโรปของฮอลันดา ทำให้เกิดขัดแย้งกับผลประโยชน์และระบบการค้าผูกขาดพระคลังสินค้าของอยุธยา หลายครั้งที่ฮอลันดาขอสิทธิผูกขาดในการส่งสินค้าออก เช่น หนังกวาง ดีบุก แต่มักจะไม่มีผลในทางปฏิบัติทำให้ฮอลันดาไม่พอใจ บางครั้งเกิดกรณีการขัดแย้งกันจนถึงขั้นฮอลันดานำกองเรือปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เมื่อความขัดแย้งสิ้นสุด ลงบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาก็ทำการค้ากับอยุธยาต่อไป
   ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23 การค้าของฮอลันดาที่กรุงศรีอยุธยาค่อยๆ ลดความสำคัญลง เพราะมีอุปสรรคนานาประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและการต่างประเทศของพระมหากษัตริย์อยุธยา และความผันผวนทางการเมืองในราชสำนัก ประกอบกับสภาวการณ์ทางการค้าในยุโรปและเอเชียตะวันออกเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาไม่อำนวยและมีปัญหา ฮอลันดาจึงค่อยๆ ถอนตัวจากการค้าที่กรุงศรีอยุธยา
   4. อังกฤษบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เข้ามาติดต่อการค้ากับอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เพื่อใช้อยุธยาเป็นฐานในการค้ากับญี่ปุ่น แต่เนื่องจากบริษัทอินเดียตะวันออของอังกฤษไม่สามารถทำการค้าแข่งกับฮอลันดาได้ การค้าของอังกฤษกับอยุธยาจึงสบเซา ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษปิดสถานีการค้าที่อยุธยาไป
อังกฤษกับเข้ามาติดต่อการค้าที่อยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ต้องประสบความล้มเหลวอีกครั้งหนึ่ง เพราะเกิดความขัดแย้ง ระหว่างบริษัทกับขุนนางระดับสูงในราชสำนักไทย บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ จึงต้องปิดสถานีการค้าที่อยุธยาใน พ.ศ. 2227 ต่อมาความสัมพันธ์กับอังกฤษหยุดชะงักลงเนื่องจากอังกฤษพยายามจะยึดเมืองมะริด แต่ถูกขับไล่ออกไป ใน พ.ศ. 2230 กรุงศรีอยุธยากับอังกฤษหยุดชะงักลงเนื่องจากอังกฤษประกาศสงครามต่อกัน แม้สงครามจะไม่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายห่างเหินกันไปนับตั้งแต่นั้นมา แต่ยุติลงอย่างเด็ดขาดเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2310
5. ฝรั่งเศสฝรั่งเศสเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาในช่วงพุธศตวรรษที่ 23 หลังชาวยุโรปชาติอื่นๆ ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสเป็นระยะเวลาค่อนข้างสั้นเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเท่านั้น
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงให้การต้อนรับคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างดี นอกจากจะเผยแพร่คริสต์ศาสนาแล้ว พวกบาทหลวงยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับราชสำนักอยุธยา พ่อค้าฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำการค้าที่กรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนคณะทูตระหว่างกัน คณะทูตของฝรั่งเศสชุดแรกเข้ามาใน พ.ศ. 2228 โดยมีเชอวาเลีย เดอโชมอง เป็นราชทูต คณะทูตชุดที่ 2 เข้ามาใน พ.ศ. 2230 มีลาลูแบร์ เป็นราชทูต ส่วนคณะทูตของไทยที่เดินทางไปถึงฝรั่งเศสและมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือคือคณะทูตที่มี พระวิสุทธสุนทร ( โกษาปาน ) เป็นราชทูตได้เดินทางไปฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2229
จุดมุ่งหมายหลักของฝรั่งเศสอยู่ที่การติดต่อการค้ากับไทย และพยายามโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชและคนไทยยอมรับนับถือคริสต์ศาสนานิการโรมันคาทอลิก แต่ฝ่ายไทยให้ความสนใจในเรื่องการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูตมากกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อถ่วงดุลอำนาจของฮอลันดา เนื่องจากฮอลันดาไม่ใจระบบการผูกขาดสินค้าของกรุงศรีอยุธยา จึงมีท่าทีแข็งกร้าวต่อกรุงศรีอยุธยา
ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดความสับสนขึ้นเมื่อคอนสแตนตินฟอลคอน ชาวกรีกของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีมีบรรดาศักดิ์เป็นออกญาวิไชเยนทร์และเป็นคนใกล้ชิดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในราชสำนักสนับสนุนให้กองทหารฝรั่งเศสเข้ามาประจำการที่บางกอกและมะริด เพื่อป้องกันการก่อกบฏของขุนนางไทย ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องค้ำประกันผลประโยชน์และอิทธิพลในราช-สำนักของฟอลคอนให้มั่นคงด้วย
ในปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขุนนางไทยรวมตัวกันต่อต้านฟอลคอนและฝรั่งเศส ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวร เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยพระเพทราชาหัวหน้าขุนนางไทยได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง ฟอลคอนถูกประหาร กองทหารฝรั่งเศสถูกล้อมที่ป้อมเมืองบางกอก และถูกขับไล่ออกไปใน พ.ศ. 2231
ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสหยุดชะงักไปเป็นเวลา 15 ปี จึงได้เริ่มมีการติดต่อกันอีกครั้งแต่ความสัมพันธ์มิได้ก้าวหน้านัก เพราะอยุธยาระมัดระวังในการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ฝรั่งเศสต้องทำสงครามในยุโรป อย่างไรก็ตาม คณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสก็ยังคงเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่กรุงศรีอยุธยา
จนสิ้นสุดสมัยอยุธยา
ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสไม่ได้มีผลเฉพาะทางด้านการค้าและการเมืองเท่านั้น แต่ศิลปวิทยาด้านต่างๆ ของฝรั่งเศสได้เผยแผ่ในอยุธยาด้วย โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมวิศวกร ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบพระราชวังตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง บ้านหลวงรับราชทูตที่ลพบุรี สร้างและซ่อมแซมป้อมต่างๆ ทั้งที่ลพบุรีและบางกอกให้ได้มาตรฐานชองตะวันตก ส่วนทางด้านการทหาร นายทหารฝรั่งเศสได้เข้ามาฝึกกองทหารแบบยุโรป ขณะเดียวกันบาทหลวงฝรั่งเศสไดมีบทบาททางการใช้เครื่องมือดาราศาสตร์ เช่น กล้องส่องดูดาวแก่กลุ่มเจ้านายน้อย ถึงกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอดูดาวขึ้นที่ลพบุรี นอกจากนี้ยังมีแพทย์ชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามารับราชการเป็นแพทย์หลวง ได้รักษาคนป่วยด้านการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม วิทยาการเหล่านี้ไม่ได้มีการสานต่อความรู้ให้สืบทอดต่อมา เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในตอนปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อขุนนางและข้าราชการไทยได้ปลุกระดมราษฎรให้ต่อต้านอิทธิพลของฝรั่งเศสในราชสำนักอย่างรุนแรง ราชสำนักอยุธยาจึงมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อกับต่างประเทศ และแม้ว่าคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสจะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาต่อไปได้ แต่ก็ถูกควบคุมเข้มงวดจากราชสำนัก ศิลปะวิทยาการต่างๆ ที่ฝรั่งเศสนำมาเผยแพร่จึงสะดุดลง
ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้าครั้งต่อไป
1. ควรมีการเผยแพร่ความรู้เรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย ให้ได้มากกว่านี้
2. ควรใช้รู้แบบที่หลากหลายในการเผยแพร่ เช่น การสร้างเว็บเพจเรื่อง การเปรียบเทียบวัฒนธรรมตะวันตกกับประเทศไทย ในอินเทอร์เน็ต
3. รณรงค์ให้ผู้คนหันมาสนใจในวัฒนธรรมไทย และอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

บรรณานุกรม
สารานุกรมฉบับเยาวชนไทย,http://kanchanapisek.or.th/kp6/New/sub/book/book.php?book=20&chap=2&page=t20-2-infodetail03.htmlค้นหาเมื่อ 11 พฤษภาคม  2557
..ณัฐนรี ไชยฤกษ์, อารยธรรมตะวันตก, (www.bbc07history.ob.tc/27.htm) ค้นหาเมื่อ15 กรกฎาคม 2557
ความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรมกับชาติตะวันตก,(http://www.m-culture.go.th/international/index.php/) ค้นหาเมื่อ 18 มิถุนายน 2557
การเผยแพร่วัฒนธรรมของชาติตะวันตก,(http://writer.dek-d.com/themoo/story/viewlongc.php?id=480772&chapter=5) ค้นหาเมื่อ 18 มิถุนายน 2557




ภาคผนวก


















ขั้นตอนการดำเนินงาน

ปรึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคำถาม

ปรึกษาวัฒนธรรมด้านการแต่งกายของประเทศไทยและชาติตะวันตก

ปรึกษาวัฒนธรรมด้านการออกแบบตกแต่งบ้าน

ปรึกษาด้านสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของประเทศไทยและชาติตะวันตก
และของเราได้ข้อสรุปว่าจะศึกษาความแตกต่างวัฒนธรรมด้านอาหาร





น้ำตกไนแองการ่า สถานที่ท่องเที่ยวของสหรัฐอเมริกา
สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนะรมของประเทศไทย
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา



รูปแบบบ้านของประเทศไทย

รูปแบบบ้านของชาวตะวันตก

สำหรับอาหารของไทย

อาหารของชาวตะวันตก